มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นัสรูดินนำเกลือไปขายที่เมืองจีน เขาได้นำเกลือจำนวนมากใส่กระสอบแล้วผูกกระสอบเกลือบรรทุกไว้บนหลังลา จนมันหลังแอ่นเดินแทบไม่ไหว ระหว่างเดินทางข้ามแม่น้ำที่ค่อนข้างกว้างสายหนึ่ง เกลือที่บรรทุกอยู่บนหลังลาที่เปียกชุ่มน้ำตลอดทาง ก็ค่อย ๆ ละลายจนเกือบหมด เมื่อถึงฝั่งตรงกันข้ามลามันก็รู้สึกว่าน้ำหนักที่แบกมาจนหลังแอ่นนั้นอยู่ ๆ ก็หายไป มันก็ดีใจวิ่งไปมารอบ ๆ นัสรูดินเป็นวงกลม พร้อมกับส่งเสียงร้องดัง ๆ
จนนัสรูดินทั้งอายทั้งโกรธตัวเอง และพาลไปโกรธลาด้วย คิดในใจว่า "เออ ดีแล้ว ทีใครทีมัน... วันหน้าจะได้เห็นกัน"
ในการเดินทางไปค้าขายในคราวต่อมา นัสรูดินก็ขนเอาฝ้ายมัดใหญ่บรรทุกบนหลังลาจนหลังแอ่นแทบเดินไม่ไหวอีก
พอ ทั้งลากับคนเดินทางมาถึงแม่น้ำและข้ามน้ำไปได้สักครู่ น้ำหนักของฝ้ายอมน้ำก็ทวีเพิ่มมากขึ้นจนลาแทบจะจมน้ำตาย นัสรูดินต้องคอยช่วยกว่าลาจะข้ามแม่น้ำและขึ้นฝั่งมาได้ ก็เหนื่อยกันทั้งคนทั้งสัตว์ เมื่อขึ้นมาได้นัสรูดินก็หัวเราะและพูดกับลาว่า
"นั่นแหละที่จะสอนให้ เจ้ารู้ว่า การเดินทางข้ามแม่น้ำแต่ละครั้งได้สอนอะไรให้เรียนรู้บ้าง เห็นไหมว่าทุกครั้งที่เจ้าข้ามแม่น้ำ เจ้าย่อมได้เรียนสิ่งใหม่เสมอ อย่าโทษข้า แต่ต้องขอบใจถึงจะถูก"
และลาก็เรียนรู้จริง ๆ จนต่อมาใคร ๆ ก็รู้และกล่าวขานกันทั่วว่า นัสรูดินมีลาที่นอกจากจะไม่โง่แล้วยังชาญฉลาดยิ่งนัก
หลังจากนั้นอีกนานต่อมา มีสหายที่สนิทสนมกับนัสรูดินมากคนหนึ่งแวะมาหาเพื่อขอยืมลาที่ฉลาดตัวนั้นสักครั้ง
โชคไม่ดีที่นัสรูดินได้ข่าวล่วงหน้าก็เลยเอาลาไปล่ามและขังไว้ในห้องที่หลังบ้าน
ดังนั้น เมื่อสหายของเขามาถึงที่พักของนัสรูดินก็แปลกใจที่ไม่เห็นลาที่ปกติจะพบ ยืนกินหญ้าอยู่ที่ทุ่งหน้าที่พัก สหายของนัสรูดินจึงถามว่า "ข้าตั้งใจมาขอยืมลาของท่านไปทำงานสักสองสามวัน แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้มันไปอยู่เสียที่ไหน ข้าถึงไม่เห็นมัน"
นัสรูดินทำหน้าเหมือนกับว่าเห็นใจที่เพื่อนต้องมาเสียเที่ยวเปล่า ๆ เขาตอบว่า"ข้าเสียใจจริง ๆ ตอนนี้ข้าไม่มีลาเสียแล้ว"
ทันทีที่นัสรูดินพูดจบเสียงร้องของลาก็ดังลั่นขึ้นมา ก็รู้อยู่แล้วว่าลานั้นมันร้องดังแค่ไหน
สหาย ของนัสรูดินจึงพูดออกมาด้วยความโกรธว่า "แล้วนั่นเสียงอะไร ไม่ใช่เสียงร้องของลาดอกหรือ ท่านไม่น่าพูดปดว่าไม่มีลาอีกแล้ว จะไม่ให้ข้ายืมลาก็น่าจะบอกกันตรง ๆ ก็ได้"
นัสรูดินหันหน้ามาหาสหาย แล้วก็พูดถามขึ้นอย่างช้า ๆ ว่า
"แล้วระหว่างข้ากับกับลาของข้า - ท่านจะเชื่อใครกันล่ะ ? "
จนนัสรูดินทั้งอายทั้งโกรธตัวเอง และพาลไปโกรธลาด้วย คิดในใจว่า "เออ ดีแล้ว ทีใครทีมัน... วันหน้าจะได้เห็นกัน"
ในการเดินทางไปค้าขายในคราวต่อมา นัสรูดินก็ขนเอาฝ้ายมัดใหญ่บรรทุกบนหลังลาจนหลังแอ่นแทบเดินไม่ไหวอีก
พอ ทั้งลากับคนเดินทางมาถึงแม่น้ำและข้ามน้ำไปได้สักครู่ น้ำหนักของฝ้ายอมน้ำก็ทวีเพิ่มมากขึ้นจนลาแทบจะจมน้ำตาย นัสรูดินต้องคอยช่วยกว่าลาจะข้ามแม่น้ำและขึ้นฝั่งมาได้ ก็เหนื่อยกันทั้งคนทั้งสัตว์ เมื่อขึ้นมาได้นัสรูดินก็หัวเราะและพูดกับลาว่า
"นั่นแหละที่จะสอนให้ เจ้ารู้ว่า การเดินทางข้ามแม่น้ำแต่ละครั้งได้สอนอะไรให้เรียนรู้บ้าง เห็นไหมว่าทุกครั้งที่เจ้าข้ามแม่น้ำ เจ้าย่อมได้เรียนสิ่งใหม่เสมอ อย่าโทษข้า แต่ต้องขอบใจถึงจะถูก"
และลาก็เรียนรู้จริง ๆ จนต่อมาใคร ๆ ก็รู้และกล่าวขานกันทั่วว่า นัสรูดินมีลาที่นอกจากจะไม่โง่แล้วยังชาญฉลาดยิ่งนัก
หลังจากนั้นอีกนานต่อมา มีสหายที่สนิทสนมกับนัสรูดินมากคนหนึ่งแวะมาหาเพื่อขอยืมลาที่ฉลาดตัวนั้นสักครั้ง
โชคไม่ดีที่นัสรูดินได้ข่าวล่วงหน้าก็เลยเอาลาไปล่ามและขังไว้ในห้องที่หลังบ้าน
ดังนั้น เมื่อสหายของเขามาถึงที่พักของนัสรูดินก็แปลกใจที่ไม่เห็นลาที่ปกติจะพบ ยืนกินหญ้าอยู่ที่ทุ่งหน้าที่พัก สหายของนัสรูดินจึงถามว่า "ข้าตั้งใจมาขอยืมลาของท่านไปทำงานสักสองสามวัน แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้มันไปอยู่เสียที่ไหน ข้าถึงไม่เห็นมัน"
นัสรูดินทำหน้าเหมือนกับว่าเห็นใจที่เพื่อนต้องมาเสียเที่ยวเปล่า ๆ เขาตอบว่า"ข้าเสียใจจริง ๆ ตอนนี้ข้าไม่มีลาเสียแล้ว"
ทันทีที่นัสรูดินพูดจบเสียงร้องของลาก็ดังลั่นขึ้นมา ก็รู้อยู่แล้วว่าลานั้นมันร้องดังแค่ไหน
สหาย ของนัสรูดินจึงพูดออกมาด้วยความโกรธว่า "แล้วนั่นเสียงอะไร ไม่ใช่เสียงร้องของลาดอกหรือ ท่านไม่น่าพูดปดว่าไม่มีลาอีกแล้ว จะไม่ให้ข้ายืมลาก็น่าจะบอกกันตรง ๆ ก็ได้"
นัสรูดินหันหน้ามาหาสหาย แล้วก็พูดถามขึ้นอย่างช้า ๆ ว่า
"แล้วระหว่างข้ากับกับลาของข้า - ท่านจะเชื่อใครกันล่ะ ? "