ครั้งหนึ่ง นัสรูดินมีความคิดจะปลูกบ้านหลังใหม่ เขาอยากได้บ้านสองชั้น เพราะบ้านสองชั้นดูแล้วรู้สึกว่าเป็นบ้าน ส่วนบ้านชั้นเดียวดูหดหู่ชอบกล
เมื่อ สร้างบ้านเสร็จ เมียบ่นว่า "นอกจากต้องเสียค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างมากกว่าปกติแล้ว ยังต้องดูแลรักษาทำความสะอาดมากขึ้นอีกเท่าตัว เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา" นัสรูดินจึงประกาศขายบ้านชั้นบน มีชายคนหนึ่งตกลงซื้อ เพราะมีความเห็นว่าเขาทำงานใหญ่โต ต้องอยู่สูงกว่าคนอื่น ทั้งสองครอบครัวอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขมานานช้า อยู่ มาวันหนึ่งนัสรูดินมีเหตุต้องย้ายบ้านไปต่างเมืองภายในเดือนนั้น จะหาคนเช่าก็ยุ่งยากใจ จะขายก็คงขายได้ แต่ใครจะซื้อเร็วอย่างที่คิดเล่า มีทางหนึ่งคือให้ชายที่อยู่ชั้นบนซื้อบ้านชั้นล่าง วันรุ่งขึ้น จึงเห็นนัสรูดินนั่งคุยกับชายผู้นั้น ทั้งสองคุยเรื่องเงินเดือนขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น เรื่องดินฟ้าอากาศ และการเมือง ในที่สุด นัสรูดินบอกชายผู้นั้นว่า เขาจะย้ายไปอยู่ที่เมืองอื่น "แล้วบ้านนี้จะทำอย่างไรล่ะ" ชายนั้นถาม "คือว่า จะขายเสียคงดีกว่า" นัสรูดินตอบ "แหม ข้ายังไม่อยากซื้อเสียด้วย อยู่ข้างบนก็สบายดีอยู่แล้ว" "ไม่เป็นไรหรอก ถ้าสนใจข้าก็จะคิดราคาพิเศษ เอาเพียงสองแสนเท่านั้น" นัสรูดินกล่าวต่อ "ยังหรอก ข้าสบายดีแล้ว" "งั้นข้าต้องหาคนซื้อบ้านให้ได้" นัสรูดินพูดแล้วก็ลากลับ สัปดาห์ต่อมา นัสรูดินไปชั้นบนอีก ตอนหนึ่งสองคนคุยกันว่า "ท่านยังหาคนซื้อบ้านไม่ได้อีกหรือ" ชายผู้นั้นถาม "ยังเลย แต่ข้าต้องขายให้ได้ ท่านไม่สนบ้างหรือ" "ไม่หรอก ข้าอยู่ข้างบนสบายดีแล้ว ข้าชอบอยู่เหนือคนท่านก็รู้" ชายนั้นตอบ "ท่านแน่ใจหรือว่าจะไม่ซื้อบ้าน" นัสรูดินถาม "แน่ใจ" ชายนั้นตอบด้วยท่าทางร่าเริง วันรุ่งขึ้น มีคนงานสิบกว่าคน บ้างแบกจอบ ถือค้อน คอนชะแลงเดินมาที่บ้านนัสรูดิน มันเป็นวันเสาร์ ชายผู้นั้นไม่ไปทำงาน "ท่าพาคนมาทำไมนี่" เขาถามนัสรูดิน "ท่านไม่อยากได้บ้านชั้นล่างนี่ ข้าก็จะรื้อทิ้งแล้ว" นัสรูดินตอบ "รื้อทิ้ง" ชายนั้นอุทานด้วยความไม่เชื่อนัก ท่าทางหวาดวิตก "ใช่" นัสรูดินตอบ "ท่านก็รู้แล้วว่า ข้าจะย้ายไปอยู่ที่อื่น เลยไม่อยากเก็บชั้นล่างนี่ไว้ ท่านไม่สนก็ตามใจ" "รื้อชั้นล่าง" เขาอุทานอีก "ใช่" นัสรูดินรับคำ "จะสั่งให้คนงานรื้อเดี๋ยวนี้" นัสรูดินสำทับ "งั้นข้าขอซื้อ" ชายผู้นั้นพูด "ข้าจะไปเบิกเงินสองแสนบาทวันจันทร์นี้เลย" นัสรูดินได้ที่จึงกล่าวว่า "อะไร ๆ ก็ขึ้นราคา ข้าคิดว่าวันจันทร์บ้านนี้เป็นสองแสนห้าเท่านั้น" มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นัสรูดินนำเกลือไปขายที่เมืองจีน เขาได้นำเกลือจำนวนมากใส่กระสอบแล้วผูกกระสอบเกลือบรรทุกไว้บนหลังลา จนมันหลังแอ่นเดินแทบไม่ไหว ระหว่างเดินทางข้ามแม่น้ำที่ค่อนข้างกว้างสายหนึ่ง เกลือที่บรรทุกอยู่บนหลังลาที่เปียกชุ่มน้ำตลอดทาง ก็ค่อย ๆ ละลายจนเกือบหมด เมื่อถึงฝั่งตรงกันข้ามลามันก็รู้สึกว่าน้ำหนักที่แบกมาจนหลังแอ่นนั้นอยู่ ๆ ก็หายไป มันก็ดีใจวิ่งไปมารอบ ๆ นัสรูดินเป็นวงกลม พร้อมกับส่งเสียงร้องดัง ๆ
จนนัสรูดินทั้งอายทั้งโกรธตัวเอง และพาลไปโกรธลาด้วย คิดในใจว่า "เออ ดีแล้ว ทีใครทีมัน... วันหน้าจะได้เห็นกัน" ในการเดินทางไปค้าขายในคราวต่อมา นัสรูดินก็ขนเอาฝ้ายมัดใหญ่บรรทุกบนหลังลาจนหลังแอ่นแทบเดินไม่ไหวอีก พอ ทั้งลากับคนเดินทางมาถึงแม่น้ำและข้ามน้ำไปได้สักครู่ น้ำหนักของฝ้ายอมน้ำก็ทวีเพิ่มมากขึ้นจนลาแทบจะจมน้ำตาย นัสรูดินต้องคอยช่วยกว่าลาจะข้ามแม่น้ำและขึ้นฝั่งมาได้ ก็เหนื่อยกันทั้งคนทั้งสัตว์ เมื่อขึ้นมาได้นัสรูดินก็หัวเราะและพูดกับลาว่า "นั่นแหละที่จะสอนให้ เจ้ารู้ว่า การเดินทางข้ามแม่น้ำแต่ละครั้งได้สอนอะไรให้เรียนรู้บ้าง เห็นไหมว่าทุกครั้งที่เจ้าข้ามแม่น้ำ เจ้าย่อมได้เรียนสิ่งใหม่เสมอ อย่าโทษข้า แต่ต้องขอบใจถึงจะถูก" และลาก็เรียนรู้จริง ๆ จนต่อมาใคร ๆ ก็รู้และกล่าวขานกันทั่วว่า นัสรูดินมีลาที่นอกจากจะไม่โง่แล้วยังชาญฉลาดยิ่งนัก หลังจากนั้นอีกนานต่อมา มีสหายที่สนิทสนมกับนัสรูดินมากคนหนึ่งแวะมาหาเพื่อขอยืมลาที่ฉลาดตัวนั้นสักครั้ง โชคไม่ดีที่นัสรูดินได้ข่าวล่วงหน้าก็เลยเอาลาไปล่ามและขังไว้ในห้องที่หลังบ้าน ดังนั้น เมื่อสหายของเขามาถึงที่พักของนัสรูดินก็แปลกใจที่ไม่เห็นลาที่ปกติจะพบ ยืนกินหญ้าอยู่ที่ทุ่งหน้าที่พัก สหายของนัสรูดินจึงถามว่า "ข้าตั้งใจมาขอยืมลาของท่านไปทำงานสักสองสามวัน แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้มันไปอยู่เสียที่ไหน ข้าถึงไม่เห็นมัน" นัสรูดินทำหน้าเหมือนกับว่าเห็นใจที่เพื่อนต้องมาเสียเที่ยวเปล่า ๆ เขาตอบว่า"ข้าเสียใจจริง ๆ ตอนนี้ข้าไม่มีลาเสียแล้ว" ทันทีที่นัสรูดินพูดจบเสียงร้องของลาก็ดังลั่นขึ้นมา ก็รู้อยู่แล้วว่าลานั้นมันร้องดังแค่ไหน สหาย ของนัสรูดินจึงพูดออกมาด้วยความโกรธว่า "แล้วนั่นเสียงอะไร ไม่ใช่เสียงร้องของลาดอกหรือ ท่านไม่น่าพูดปดว่าไม่มีลาอีกแล้ว จะไม่ให้ข้ายืมลาก็น่าจะบอกกันตรง ๆ ก็ได้" นัสรูดินหันหน้ามาหาสหาย แล้วก็พูดถามขึ้นอย่างช้า ๆ ว่า "แล้วระหว่างข้ากับกับลาของข้า - ท่านจะเชื่อใครกันล่ะ ? " เมื่อนาสรุดดินชราภาพเป็น ไม้ใกล้ฝั่งใกล้ตายอยู่รอมร่อ
ภรรยาสองคนร้องห่มร้องไห้อยู่ข้าเตียง เพราะรู้ว่านาสรุดดินคงไม่รอดแล้ว ทั้งสองจึงแต่งตัวไว้ทุกข์เตรียมไว้ "อะไรกันนี่" เขาพูดเมื่อเห็นภรรยาของตนร้องไห้ไม่หยุด " ไปถอดชุดไว้ทุกข์ออกเดี้ยวนี้ และแต่งตัวแต่งหน้าหวีผมเผ้าให้สวย แต่งชุดที่ดีที่สุดของเจ้าออกมาเลยนะ" "เราจะทำอย่างนั้นได้ยังไง ท่านกำลังจะตายอยู่ทั้งคน" ภรรยาคนแรกพูด แต่นาสรุดดินกลับตอบพร้อมรอยยิ้มว่า "ตอนที่ยมทูตเข้ามาเอาตัวข้าไป พอเห็นพวกเจ้าแต่งตัวสวยๆ อาจจะเอาเจ้าคนใดคนหนึ่งไปแทนข้ายังไงละ" พอพูดจบ เขาก็หัวเราะกับตัวเองและสิ้นลม วันหนึ่งครูหนุ่มของหมู่ บ้านมาร่ำลานาสรุดดิน บอกว่าจะไปหาความรู้เพิ่ม
เมื่อครูคนนั้นถามว่าคนที่เขาควรแสวงหาและยกย่องให้เป็นครูคือคนจำพวกไหน นาสรุดดินท่องสุภาษิตที่เขาเคยได้ยินจากคนในตลาดให้ฟัง คนที่ไม่รู้ และไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้คือคนโง่ จงเลี่ยงเสีย คนที่ไม่รู้ และรู้ว่าตัวเองไม่รู้คือเด็ก จงสอนเขา คนที่รู้ แต่ไม่รู้ว่าตัวเองรู้คือคนหลับ จงปลุกเขา คนที่รู้และรู้ว่าตัวเองรู้คือคนฉลาด จงเดินตามเขา นาสรุดดินหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อว่า "แต่เจ้ารู้ไหมว่ามันยากแค่ไหนที่จะแน่ใจว่าใครที่รู้และรู้ว่าตัวเองรู้จริง" วันหนึ่งพระราชารับสั่งถามนาสรุดดินว่า
"นาสรุดดิน ถ้ามีเงินมาวางตรงหน้าเจ้า กับอีกสิ่งหนึ่งคือความเป็นธรรม เจ้าจะเลือกอะไร" "ข้าพเจ้าก็ต้องเลือกเงินอยู่แล้วพะย่ะค่ะ" "อะไร นะ นาสรุดดิน ถ้าเป็นข้าต้องเลือกความเป็นธรรมไม่เลือกเงินทองแน่ๆ เงินทองนะรึ ไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ ความเป็นธรรมต่างหากที่หาได้ยาก" "คนที่ขาดแคลนอะไร ก็มักจะอยากได้อย่างนั้นพะย่ะค่ะฝ่าบาท" นาสรุดดินให้หมอดูดวงให้ พอดูเสร็จ นาสรุดดินไม่ยอมจ่ายเงิน เชิดหน้าเดินจากไป หมอดูก็ดึงตัวนาสรุดดินไว้ "นี่ นาสรุดดิน ท่านยังไม่จ่ายเงินค่าดูดวงเลย" "ท่านเป็นหมอดูแท้ๆ ไม่รู้รึไงว่าข้าไม่มีเงินสักแดง" นาสรุดดินตอบ ก็ใช่นะสิวันหนึ่งพระราชาทรงมีพระ ประสงค์จะให้ประชาชนของพระองค์พูดแต่ความจริง ทรงสั่งให้เอาที่แขวนคอมาตั้งหน้าประตูเมือง และให้เจ้าพนักงานประกาศว่า
"ใครก็ตามที่ต้องการเข้าเมืองต้องตอบคำถามตามความจริงเสียก่อน" เผอิญนาสรุดดินเป็นหัวแถว ทหารยามก็เข้ามาถามเขาว่า "เจ้าจะไปไหน บอกความจริงมา มิฉะนั้นเจ้าจะถูกแขวนคอ" "ข้ากำลังจะไปโดนแขวนคอบนลานประหาร" "ข้าไม่เชื่อ" "ก็ได้ หากข้าโกหกก็จงแขวนคอข้าได้เลย" "ก็เท่ากับเจ้าพูดจริงน่ะสิ" "ก็ใช่นะสิ" นาสรุดดินพูด "ท่านต้องการความจริงไม่ใช่รึ ข้าผ่านเข้าไปได้รึยัง?" มีชายสองคนมาพบนาสรุดดิน ที่ทำหน้าที่เป็นตุลาการ
ชายคนแรกบอกว่า "เจ้าหมอนี่มันกัดหูข้าครับท่าน.. ข้าต้องการเงินชดใช้ค่าเสียหาย" ชายอีกคนแก้ตัวว่า "ไม่จริง! เขากัดหูตัวเองครับท่าน" นาสรุดดินพักการพิจารณาคดีไว้ชั่วครา แล้วเข้าไปในห้อง พยายามทำท่ากัดหูตัวเองอยู่นานสองนาน แต่ก็ไม่สำเร็จ ตัวเองกลับต้องเจ็บตัวหกล้มหน้าผากแตก เมื่อกลับมาในห้องพิจารณาคดี ตุลาการนาสรุดดินก็ประกาศว่า "จงตรวจร่างกายชายที่โดนกัดหู หากหน้าผากมีรอยแผลแสดงว่าเขาทำร้ายตัวเอง คำร้องเรียนถือเป็นอันตกไป ถ้าไม่มีแผลที่หน้าผาก แสดงว่าจำเลยเป็นคนผิด ให้จ่ายค่าชดใช้เป็นเงินสามเหรียญ" ๐ ขี้ลืม ๐
นาสรุดดินชอบใจลอยขี้หลงขี้ลืมเป็นประจำ คืนหนึ่งก่อนเข้านอน เขาจุดไม้ขีดไฟเพื่อดูว่า ตัวเองดับเทียนหรือยัง ขณะเดินไปตามถนน มีอะไรทำให้นัสรูดินตกใจ
จึงกระโจนลงไปซ่อนในคูน้ำข้างทาง แล้วก็เริ่มคิดว่าคงตกใจถึงตายเป็นแน่ เวลาผ่านไป เริ่มหนาวแล้วก็หิว เขาเดินกลับบ้าน บอกข่าวแก่เมียว่า ตัวเองนอนตายอยู่ที่คูน้ำ แล้วเดินย้อนกลับไปที่นั่น ผู้เป็นเมียร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างขมขื่น วิ่งไปหาเพื่อนบ้านเพื่อหาคำปลอบใจ "ผัวฉันตายแล้ว ศพนอนอยู่ข้างคู" "เธอรู้ได้อย่างไร ใครมาบอก" เพื่อนถาม "ไม่มีใครเดินผ่านไปพบเลย เขาเลยต้องเดินมาบอกข่าวเอง โธ่ น่าสงสารจริง" ทุกเช้าวันศุกร์ นัสรูดินจะนำลางาม ๆ ตัวหนึ่งเข้าไปขายในเมืองเสมอ
ราคาที่เขาตั้งไว้ต่ำเหลือหลาย วันหนึ่ง พ่อค้าผู้ล่ำซำเข้ามาหานัสรูดิน “ข้าไม่เข้าใจเลยว่าเจ้าขายลาได้อย่างไร นัสรูดิน ข้าขายราคาต่ำสุดแล้วทั้ง ๆ ที่ข้ามีสมุน บังคับให้ชาวนาส่งหญ้าฟรี บ่าวข้าก็เลี้ยงโดยไม่ได้รับค่าจ้างค่าออนเลย แต่ราคาก็ยังต่ำสู้ของเจ้าไม่ได้” “ง่ายนิดเดียว” นัสรูดินตอบ “เจ้าขโมยเพียงแรงงานกับหญ้า ส่วนข้าขโมยลาทั้งตัว” วันหนึ่งชายคนหนึ่งมาหานัสรูดินที่บ้านพูด ว่า “ท่านเป็นคนเฉลียวฉลาดมากมาก โปรดช่วยเหลือข้าด้วยเถอะ บ้านของข้าคับแคบมาก ในบ้านข้ามีภรรยาลูก ๆ หลายคน พ่อข้าแล้วก็แม่ เราไม่มี สุขเลย”
“เจ้ามีแกะไหมล่ะ” นัสรูดินถาม “ไม่มี” ชายผู้นั้นตอบ “ไปซื้อมาเลี้ยงตัวหนึ่งซี” นัสรูดินให้ความเห็น “แล้วก็เลี้ยงเอาไว้ในบ้านนั่นแหละ” “แต่ว่า” ชายนั้นท้วง “นั่นจะทำให้บ้านเลวลงอีก ไม่ดีแน่” “เจ้าอยากให้ข้าช่วยเจ้าหรือไม่ล่ะ” นัสรูดินถาม “ให้ช่วยซิ” “งั้นไปซื้อแกะมาตัวหนึ่ง” สัปดาห์หนึ่งต่อมา ชายคนนั้นมาหานัสรูดินอีก นัสรูดินถามว่า “เจ้าซื้อแกะแล้วใช่ไหม” “ซื้อแล้ว” ชายนั้นตอบ “ตอนนี้เจ้ามีความสุขขึ้นไหม” “เราไม่มีความสุข บ้านยิ่งแออัดมากขึ้นกว่าก่อน รู้สึกว่าจะแย่ลง” “งั้นไปซื้อแม่ไก่อีก 6 ตัว เลี้ยงไว้ในบ้าน” นัสรูดินตอบและปิดประตูบ้านปัง สัปดาห์ต่อมา เขาพบชายผู้นั้นเป็นหนที่สาม ชายนั้นบอกว่า “เดี๋ยวนี้บ้านของเราแย่ยิ่งกว่าเดิมมาก” นัสรูดินพูดว่า “ไปซื้อแพะ แล้วเลี้ยงไว้ในบ้านเจ้าอีกตัว” อีกสัปดาห์ต่อมา ชายผู้นั้นบอกว่า “ตอนนี้ภายในบ้านของเราเดือดร้อนเพราะพวกนั้น สัตว์สี่ตีนสัตว์ปีก ชุลมุนไปหมด” “ดีแล้ว” นัสรูดินตอบ “คราวนี้กลับไปแล้วขายแกะเสียนะ” สัปดาห์ต่อมาชายผู้นั้นมาหานัสรูดินและพูดว่า “ตอนนี้ภายในบ้านค่อยสดชื่นขึ้น เพราะว่า แกะไปพ้นเสียแล้ว” “เออดี” นัสรูดินตอบ “คราวนี้กลับไปขายไก่นะ” สัปดาห์ต่อมา นัสรูดินพบชายผู้นั้นอีก ตอนนั้นชายนั้นมีความสุขมาก “ข้าขายไก่ไปแล้ว ตอนนี้บ้านเราน่าอยู่จัง” "งั้นก็ขายแพะเสียซิ” นัสรูดินแนะนำ สัปดาห์ต่อมา ชายผู้นั้นพูดว่า “ตอนนี้เรามีความสุขอย่างยิ่ง” นัสรูดินบรรทุกองุ่นสองตะกร้าบนหลังลาแล้วพา ไปตลาด กลางทางอากาศร้อนอบอ้าว จึงหยุดพักใต้เงาร่มไม้ ที่นั่นมีคนพักหลายคนก่อนแล้ว คนอื่นก็มีลาบรรทุกองุ่นเช่นเดียวกัน
หลังจากกินอาหารกลางวันอิ่มหนำ พวกเขาต่างก็พล็อยหลับ ครั้นนัสรูดินตื่นขึ้นฉวยองุ่น ในตะกร้าคนอื่นใส่ตะกร้าของตน ทันใดนั้นชายผู้หนึ่งตื่นขึ้นเห็น “แกกำลังทำอะไรนั่น” เขาถาม “โอ๊ะ” นัสรูดินตอบ “อย่ายุ่งกะข้า ข้าครึ่งบ้าครึ่งดี แล้วข้ามีงานทำอีกมาก” “จริงรึ” ชายคนนั้นอุทาน “แล้วงั้นทำไมแกไม่หยิบองุ่นจากตะกร้าแกใส่ตะกร้าคนอื่นบ้างเล่า” “แกไม่เข้าใจข้า” นัสรูดินตอบ “ก็ข้าบอกแล้วไงว่าข้าครึ่งบ้าครึ่งดี ไม่บ้าทั้งหมด” นัสรูดินต้องการเพิ่มความรู้ ชูความคิดในงานศิลปะ
เพื่อนคนนึงจึงนำไปเที่ยวห้องศิลป์ 'ใครขียนภาพนี้นี่' นัสรูดินถาม ขณะหยุดอยู่หน้าผืนผ้าใบใหญ่สีสวย 'ปิกาสโซ่ นั่นไง ลายเซ็นของเขา' 'อ้ายปิ มันกล้าดียังไงวะ มาลอกจากปฏิธินของข้า' นัสรูดินเดินด้อมๆ มองๆ ตามท้องถนนยามเที่ยงคืน 'แกกำลังป่วยหนัก นัสรูดิน' เพื่อนบ้านพูด 'มีประเพณีน่าสนใจอย่างหนึ่งในอังกฤษ' นัสรูดินพูดขึ้น ในวันที่มีตลาดนัด นัสรูดินมักจะยืนริมทาง เพื่อให้ผู้คนชี้ว่า "โง่" เมื่อมีใครยื่นเหรียญให้เขาหลายอัน นัสรูดินจะเลือกเอาเหรียญอันเล็กที่สุดไว้เพียงอันเดียวเสมอ นัสรูดินมีเพื่อนคนหนึ่งชื่อมุสตาฟา มุสตาฟาเป็นคนไม่ฉลาดส่วนนัสรูดินเป็นคนฉลาดแต่ชอบทำเป็นโง่ วันหนึ่งมุสตาฟาตื่นแต่เช้ามืดด้วยความท้อแท้ไปหานัสรูดินบอกว่า เพื่อนเอ๋ย บ้านที่ผมอยู่มันคับแคบ กลิ่นอับ ไม่คล่องตัวเลย ผมไม่มีความสุข กลัดกลุ้มมาหลายปีแล้ว ช่วยผมหน่อยได้ไหม เงินที่จะขยายห้องก็ไม่มี
นัสรูดินบอกว่า เอาล่ะแกต้องเชื่อข้านะ แล้วจะช่วยให้สบายขึ้น คืนนี้นะให้เอาแพะเข้าไปล่ามในห้องนอนของแก มุสตาฟางงแต่ก็เชื่อนัสรูดิน พอรุ่งเช้าตื่นมาตาแดง มาหานัสรูดิน ผมนอนหลับๆตื่นๆ เจ้าแพะวายร้ายมันร้องทั้งคืนเลย ไหนว่าจะช่วยผมให้มีความสุข นัสรูดินบอกว่า เอาน่าเชื่อฉัน คืนนี้เอาลาเข้าไปอีกตัวหนึ่งไปล่ามด้วยกัน มุสตาฟาคนโง่ก็ทำตาม เอาลาเข้าไปล่าม รุ่งเช้าก็โผเผมาบอกว่า เจ้าแพะกับลามันทะเลาะกันทั้งคืนร้องและเตะกันและถ่ายมูลออกมา ห้องผมเล็กอยู่แล้วเหม็นคลุ้งไปหมดไหนว่าจะช่วยผมให้สบายขึ้นไงล่ะ นัสรูดินบอกว่า เอาน่า คืนนี้ได้เรื่องเอาม้าเข้าไปอีกตัวหนึ่ง พอรุ่งเช้ามุสตาฟาไม่มีแรง เพราะไม่ได้นอนทั้งคืนบอกนัสรูดินช่วยผมด้วย ช่วยผมให้มีความสุขหน่อย นัสรูดินบอกว่า เอาละได้ที่แล้ว คืนนี้เอาแพะออกจากห้องไป พอรุ่งเช้ามุสตาฟามาหา นัสรูดินก็ถามว่าเป็นไงบ้าง มุสตาฟาจึงบอกว่าค่อยยังชั่วนิดนึงแล้ว นัสรูดินบอกว่า งั้นคืนนี้เอาลาออกไป รุ่งเช้ามุสตาฟาบอกว่า ผมรู้สึกว่าห้องผมกว้างขึ้น นัสรูดินบอกว่าคืนนี้แกเอาม้าออกไปจากห้อง รุ่งเช้ามมุสตาฟาเดินยิ้มเผล่มาหาบอกว่า แหม ผมรู้สึกเป็นสุขเหลือเกินห้องผมรู้สึกมันกว้างขวางดี ในสุเหร่าเขาห้ามไม่ ให้ส่งเสียงคุยกัน วันหนึ่งนัสรูดินนั่งท่ามกลางผู้ทรงศรัทธา มีชายคนหนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างไม่ตั้งใจว่า "เอ ข้าดับไฟที่บ้านหรือยังหนอ" เห็นอะไรสะท้อนแสงบาดตา แม่ม่ายคนหนึ่งมาที่ศาล ฟ้องต่อนัสรูดินว่า "ข้าเป็นคนจน ลูกชายข้าชอบกินน้ำตาลทีละมาก ๆ ที่จริงคงติดน้ำตาลด้วย ทำให้ข้าชักหน้าไม่ถึงหลัง จึงขอศาลสั่งห้ามไม่ให้เขากินน้ำตาล เพราะว่าข้าไม่อาจ ใช้กำลังบังคับเขาได้
"คุณนายครับ" นัสรูดินตอบ "ปัญหานี้ไม่ง่ายเหมือนที่คิด สัปดาห์หน้ามาดูคำตัดสิน ข้าขอวินิจฉัย อย่างถี่ถ้วนก่อน" สัปดาห์ต่อมา ชื่อของหญิงม่ายก็อยู่ในบัญชีลูกความอีก "ข้าขอโทษ" นัสรูดินบอกเธอเมื่อเธอเข้ามาพบ "คดีนี้มีเลศนัยสับสนมาก ต้องขอเลื่อนคดี ไปสัปดาห์หน้า" การเลื่อนคดีมีต่อมาอีกสองสามครั้ง จนในที่สุดนัสรูดินประกาศว่า "ศาลจะออกคำสั่งแล้ว เรียกเด็กหนุ่มนั่นเข้ามา" เด็กหนุ่มถูกตามตัวเข้ามาต่อหน้าผู้พิพากษา นัสรูดิน "พ่อหนุ่ม" ผู้พิพากษาตวาดใส่ "ศาลห้ามไม่ให้เจ้ากินน้ำตาล จะกินได้ไม่เกินวันละสองกำมือ" ผู้เป็นแม่ขอบอกขอบใจนัสรูดินเป็นการใหญ่ ก่อนลาจากขอถามคำถามหนึ่ง "ว่ามาเลย" นัสรูดินกล่าว "ข้าแต่ศาลที่เคารพ ข้างุนงงไปหมด ทำไมท่านจึงไม่สั่งห้ามเด็กไม่ให้กินน้ำตาลตั้งแต่แรก เมื่อได้รับคำฟ้อง" "อ้อ" นัสรูดินตอบ "ก็ข้าต้องเลิกนิสัยนั้นก่อน ตัวข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องใช้เวลานานอย่างนั้น" ขณะที่นัสรูดินเดินครุ่นคิดไปตามถนน ก็มีเด็กซุกซนกลุ่มหนึ่งขว้างหินใส่ เขาประหลาดใจมาก เพราะเขาไม่ใช่นักเลงเลย นัสรูดินกำลังฝันว่า ตัวเองได้รับบริจาคจากผู้ใจบุญคนหนึ่ง ที่มองไม่เห็นตัวตน ครั้นยื่นเหรียญ ให้นัสรูดินเก้าอันก็หยุด นัสรูดินนั่งดื่มกาแฟและสนทนากับเพื่อนแก่เพื่อนเก่า เรื่องที่สนทนากันคือความแตกต่าง ระหว่างคุณค่า ของคนหนึ่งกับอีกคนหนึ่ง |